เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน ทั้งชีวิตมีการลงทุน เวลาเขาลงทุนไปแล้ว เขาแสวงหาผลประโยชน์รอบหนึ่งๆ เขาลงทุนต่อเนื่องๆ กันไป เขาลงทุนต่อเนื่องเพื่ออะไร? เพื่อให้กิจการของเขามั่นคง ขนาดการลงทุนเขายังลงทุนต่อเนื่อง ต้องมีการลงทุนต่อเนื่องเพราะว่ามันเสื่อมสภาพ มันได้ผลประโยชน์ตอบแทนไปแล้ว
ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน? ชีวิตนี้มาจากบุญกุศลของเรา ถ้าไม่มีบุญกุศลของเรา จิตเวียนว่ายตายเกิด เราปฏิเสธกันไป โลกนี้เกิดมาก็มีชาติเดียวเท่านั้นแหละ จะมีนรกสวรรค์มาจากไหน สัตว์มันก็เกิดมาเป็นอาหารของเรา
เวลาสัตว์นะ สัตว์ที่มันมีน้ำใจ มันยังเจือจานกันนะ สัตว์มันหวงแหนอาหารมันมาก ยิ่งสัตว์มันหวงถิ่นนะ เขตหากินของมัน มันไม่ให้สัตว์ตัวอื่นเข้าไปเลย พวกเสือ พวกสิงโต เขตหากินของมันถ้ามีสัตว์อื่นเข้ามามันต้องเปิดศึกแน่นอน เพราะมันหวงถิ่น มันหวงอาหารของมัน แต่เวลามันมีน้ำใจต่อกันนะ เวลามันล่า หัวหน้ากินก่อน กินเสร็จแล้วมันก็ยังแบ่งปันกัน สัตว์บางชนิดมันได้อาหารมามันเจือจานกัน สัตว์มันยังมีน้ำใจ
สิ่งนี้ก็เหมือนกัน ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากการลงทุนของเรา ลงทุน ที่เรามาทำบุญกุศลกันอยู่นี่ นี่การลงทุน ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราแสวงหาเงินทองมาได้ เราเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสลึงหนึ่ง เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่สลึงหนึ่ง เพื่อการลงทุน การทำธุรกิจของเราสลึงหนึ่ง อีกสลึงหนึ่งฝังดินไว้ ที่เหลือฝังดินไว้ ไม่ใช่ได้มาเท่าไรก็จะทำบุญหมดเลย โอ๋ย! ใจเรามีศรัทธามีความเชื่อ
ศรัทธาความเชื่อมันเป็นทรัพย์ในตัวมันเองนะ ดูสิ น้ำใจของคนมีค่ามาก คนที่มีน้ำใจต่อกัน คนที่มีการเจือจานต่อกันมันอบอุ่น เราไม่มีเวรมีภัยนะ แต่เราไปที่ไหนมันมีแต่การเอารัดเอาเปรียบกัน โอ๋ย! มันเดือดร้อนไปหมดเลย ข้าวของเงินทองเยอะแยะเลย แต่ไม่มีใครเจือจานใครเลย มันมีแต่กักตุนของมันไว้ มันมีแต่ซ่อนเร้นไว้ ไอ้คนที่กินก็กินจนท้องป่องเลย ไอ้คนที่หิวกระหายมันก็จะเป็นจะตาย เพราะอะไร เพราะมันขาดน้ำใจ น้ำใจสำคัญ ทีนี้น้ำใจสำคัญแล้ว เวลาเรามีน้ำใจ เราจะไปทำบุญกุศล สิ่งนั้นทำมาก็กลับมาหาใจเรา มาหาใจเรา
ชีวิตนี้มาจากไหน? มาจากนี่แหละ มาจากมนุษย์สมบัติ เพราะมีมนุษย์สมบัติ เพราะมีศีลมีธรรมมันถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ไง ถ้าไม่มีศีลธรรม จิตนี้มันเกิด ดูสิ เวลาเกิดมา ใครรู้บ้างว่าตัวเองเกิดมาที่ไหน แม่บอกทั้งนั้นแหละว่าเกิดที่โรงพยาบาลนั้น โรงพยาบาลนี้ นี่แม่บอกทั้งนั้นแหละ มันไม่รู้ว่ามันเกิดมาอย่างไรหรอก นี่เวลามันเกิดมานะ
สัตว์มันก็เหมือนกัน เวลาเขาฟัก ดูสิ เป็ด ไก่ มันฟักออกมาจากไข่ เกิด กำเนิด ๔ เกิดในไข่ ในน้ำครำ ในครรภ์ ในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔ จิตเวียนว่ายตายเกิด กำเนิด ๔ แล้วทำไมมันเกิดอย่างนั้นล่ะ มันเกิด ชีวิตนี้มาจากไหน ที่เรามาทำบุญกุศลกันเพื่อเหตุนี้ไง
ฟังธรรมๆ ธรรมะก็ทำให้หัวใจมีเจตนาที่ดี มีความคิดที่ดี ถ้าความคิดที่ดี ดีเพื่อใคร? ก็ดีเพื่อตัวเราเองไง แต่ถ้ากิเลสมันบอกไม่ได้ ขาดทุน โลกเขาแสวงหา มือใครยาวสาวได้สาวเอา เขาสาวของเขา เราไม่ใช่มือใครยาวสาวได้สาวเอา เราทำด้วยความหมั่นเพียรของเรา ความหมั่นเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความสุจริตธรรม ธรรมาภิบาล เราทำคุณงามความดีของเรา มันเป็นเกราะป้องกันคุ้มครองใจ ใจไม่หวั่นไม่ไหวไง เพราะเราไม่ได้ทำสิ่งใดหมกเม็ดในหัวใจ ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดพลาดไว้ คนที่ทำสิ่งใดผิดพลาดไว้มันนั่งสะดุ้งตลอด มันกลัวเขาจะไปรู้ความผิดมัน นี่ไม่มีความสุจริตคุ้มครองหัวใจ
ทีนี้ความสุจริตคุ้มครองหัวใจแล้ว คุ้มครองใจเรา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง เรารักษาศีล ศีลธรรมจะคุ้มครอง แต่เขาคุ้มครอง จะมีการ์ดมาคุ้มครอง...ไม่ใช่ ความดี ความดีงามของเรามันคุ้มครอง ความดี คุณธรรมมันคุ้มครองหัวใจ ถ้าหัวใจมันไม่สั่นไม่ไหว หัวใจมันไม่หวั่นไหว ถ้าใจมันไม่โลเล หัวมันไม่ส่าย หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก หัวไม่ส่ายคือความคิดไม่ส่าย
มนุษย์เกิดมาจากไหน มนุษย์ทำอะไร การกระทำมนุษย์มาจากไหน? มาจากความคิดทั้งนั้นแหละ มาจากความคิด มาจากจินตนาการ มาจากการกระทำ มาจากความพอใจทำ คิดแล้วถึงพูด คิดแล้วถึงทำ คิดแล้วถึงแสวงหา แล้วถ้าหัวมันดีขึ้นมา หัวมันดีมาจากไหนล่ะ? หัวมันดีเพราะเราทำของเรานี่ไง เราทำของเรา เราศึกษาของเรา เราศรัทธาของเรา เราทำบุญกุศล บุญกุศลเพื่ออะไร ทำแล้วสบายใจไหม ถ้าทำแล้วสบายใจ แล้วทำแล้ว ของสิ่งต่างๆ เราก็หลุดไม้หลุดมือไปอยู่ที่พระ ไอ้นั่นเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญของโลก
เราหว่านพืช เราหว่านเมล็ดข้าวไป เวลามันออกรวงออกรัง เราเป็นคนหว่าน เราเป็นคนเกี่ยวคนเก็บ นาข้าวมันได้แต่ต้นฟาง ฟางหญ้านั่นน่ะ แล้วมันก็ได้เมล็ดข้าวที่ตกอยู่นั่นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน เราหว่านพืชหว่านผลลงไปแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย...ก็เราหว่านไป เราหว่านไปมันจะมีอะไรติดไม้ติดมือล่ะ แต่เดี๋ยวมันจะงอกงามขึ้นมา งอกงามมาที่ไหน? งอกงามมาในหัวใจของเรานี่ไง ทิพย์สมบัติๆ
กลิ่นของศีลหอมทวนลม คนที่ไม่เอารัดเอาเปรียบ คนที่มีน้ำใจต่อกัน เขาว่าคนนี้เป็นคนดี เขาหาคนดีๆ คนดีประจำจังหวัด คนดีประจำประเทศ เราไม่ต้องหาคนดีมาจากไหน ทำดีแล้วได้ดี ทำดีคือดีของตัวมันเอง ถ้าดีของตัวมันเอง เราไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร การแข่งขันเขาต้องมาเก็บสถิติว่าคนนั้นมีความดีเท่าไร แล้วเขาจะขอคุณงามความดีให้ เราไม่ต้องให้ใครมาเก็บสถิติของเรา เราทำดีเพื่อดีของเรา ความดีของเรา เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้ามีความดีของเรา เรามีความสุข มีความพอใจ แล้วใจมันพัฒนาขึ้นมานะ แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วตีโพยตีพายจะเอาความดี...เอาความดีมาจากไหน ความดี ก็ความอยากให้เขารู้จักมันก็แซงหน้าไปแล้ว นี่หัวมันส่ายแล้ว พอหัวมันส่าย จิตใจมันก็ดิ้นรน ดิ้นรนว่าทำบุญแล้วทำไมไม่ได้บุญ
บุญกุศลคืออะไร? บุญกุศลคือความดี เราทำคุณงามความดีของเรา ทำเพื่อประโยชน์สุขในหัวใจของเรา ถ้าประโยชน์สุขในหัวใจของเรา มันให้ผลนะ ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาพระสารีบุตรออกจากสมาบัติ ทุคตะเข็ญใจเขาเป็นคนรับจ้างทำนา เขาไถนาของเขา เขาไถนาของเขานะ เขาก็รออาหารมาส่ง มันหิวกระหาย มันโกรธมาก ทีนี้พระสารีบุตรออกจากสมาบัติมา เขาก็มาส่งอาหารพอดี นี่มีจิตใจนะ จิตใจคุณงามความดีมันศรัทธา ก็เอาอาหารนั้นใส่บาตรพระสารีบุตรไปหมดเลย
พระสารีบุตรให้พรนะ ฉันเสร็จแล้วให้พร ก็ไปด้วยความอิ่มเอมใจ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นหิวกระหายมากเลย แต่จิตใจมันชื่นบานจากบุญกุศลอันนั้น ลงไปไถนาใหม่ พอไถลงไป ดินพลิกขึ้นมาเป็นทองคำหมดเลย เป็นทองคำทั้งนั้นเลย ดินพลิกขึ้นมาเป็นทองคำนะ
อ้าว! ตัวเองเป็นทุคตะเข็ญใจ ไม่มีอาชีพ เอาทองคำมาจากไหนล่ะ เอาไปก็หัวขาดน่ะสิ ก็ไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร บอกข้าพเจ้าเป็นทุคตะเข็ญใจ เป็นคนไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไปไถนาที่นั่น ไถขึ้นมาแล้วเป็นทองคำหมดเลย พลิกเป็นทองคำ
พระเจ้าพิมพิสารถามว่ามันอยู่ที่ไหน ก็ให้มหาดเล็กไปเอา พอมหาดเล็กไปเอา ยกขึ้นมาเป็นดินหมดเลย ทองคำยกขึ้นมาเป็นดินหมดเลยนะ ก็กลับมาเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารบอกว่าพอยกขึ้นมาเป็นดินหมดเลย มันไม่ใช่ทองคำหรอก ไปเห็นทีแรกเป็นทองคำ ยกขึ้นมาเป็นดิน
พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันไง รู้ เพราะมีคุณธรรมในใจ บอกว่าให้กลับไปใหม่นะ ให้กลับไปใหม่ แล้วบอกว่าไปเอาทองคำของทุคตะเข็ญใจคนนี้ ไม่ใช่เอาทองคำของพระเจ้าพิมพิสาร ไม่ใช่ทองคำของใคร
ยกขึ้นมาเป็นทองคำเหมือนเดิม ๘๐ เล่มเกวียนมากองอยู่เต็มกลางราชวังเลย นี่ทุคตะเข็ญใจ ใครมีทองคำ พระเจ้าพิมพิสารประกาศ ใครมีทองคำเท่านี้บ้าง กองนี้ ใครมีทองคำเท่านี้บ้าง ไม่มีใครมีทองคำเท่านี้เลย ฉะนั้น จะตั้งให้ทุคตะเข็ญใจเป็นเศรษฐีประจำรัชกาล
นี่ไง เวลาเขาทำ เขาได้ของเขาอย่างนั้น เวลาเขาได้เขาได้ด้วยจิตใจที่เขาสะอาดบริสุทธิ์ เวลาเขาไถนา เขาเป็นทุคตะเข็ญใจรับจ้าง เป็นผู้รับจ้าง แต่เวลาทำงานไปมันก็เหนื่อยก็หิวเป็นธรรมดา เขามาส่งอาหารช้า โอ้โฮ! โกรธมาก ทำไป แต่เวลาพระสารีบุตรออกจากฌานสมาบัติมา นี่เห็นอย่างนั้น
พูดว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ บุญของเรา เราจะตีโพยตีพายไปทำไม จะตีโพยตีพายไปที่ไหนล่ะ เราตีโพยตีพายไปมันจะได้อะไร เพราะเราอยากได้ อยากเป็น มันไม่มีไง คือมันไม่สมเหตุสมผลของมัน ถ้ามันสมเหตุสมผล มันมา มันเป็นของมัน แล้วเมื่อไหร่มันจะเป็นสักทีล่ะ เมื่อไหร่จะเป็นสักที ทุกข์อยู่นี่ ก็อยากได้อยู่นี่ไง อยากได้ตัณหาความทะยานอยาก อยากได้คือมาร แต่เราทำคุณงามความดีของเรา สัจจะคือสัจจะนะ
เวลาพระอาทิตย์ขึ้นแดดออก จะบ้านคนรวย คนจน คนทุกอย่างมันสาดแสงไปเหมือนกันหมด เว้นไว้แต่เมฆมันมาบัง ถ้าเมฆมาบังนะ จะมั่งมีศรีสุข จะรวยจะจน แสงแดดมันจะถึงหลังคาไหม แสงแดดมันจะลงสู่บ้านของตัวเองไหม มันลงหมดแหละ มันไม่ไปไหนหรอก ทำความจริง ทำคุณงามความดี ความดีก็คือความดี ไม่ใช่ว่าไอ้คนนั้นมันได้ดี ไอ้เราทำแล้วไม่ได้ดี...ไม่ดีเพราะว่าเมฆมันบัง เมฆมันบังแสงแดดไง ความอยาก ความต้องการมันบัง แล้วมันบัง ถ้าไม่มีเมฆ แสงแดดมา อ้าว! แสงแดดมันต้องให้ความอบอุ่น ทำไมมันร้อนล่ะ อ้าว! แสงแดดเวลาเช้ามันก็อบอุ่น เวลากลางวันมันก็ร้อน ทำไมล่ะ อ้าว! ทุกอย่างมันก็มีคุณมีโทษในตัวมันเองทั้งนั้นแหละ
การกระทำของเรา ถ้าทำคุณงามความดีอย่างนี้ทำเพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ชีวิตนี้มาจากไหน? มาจากการกระทำของเรา เพราะมีการกระทำนี้เราถึงได้เกิดมา สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนบุพเพนิวาสานุสติญาณ ท่านมาจากไหน เจ้าชายสิทธัตถะมาจากไหน ย้อนกลับไป เราเคยเป็น เพราะปัจจุบันนี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณ ปัจจุบันเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เราเคยเป็นพระเวสสันดร เราเคยเป็นทศชาติ เราเคยเป็นๆ มันย้อนไป มันสาวไปหมดเลย ไม่มีต้นไม่มีปลาย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เรามาจากไหน เรามาจากไหน ทุกคนมีความสงสัยทั้งนั้นแหละ แล้วถ้ามันไม่ถึงที่สิ้นสุด เวลามันตายแล้วมันไปไหน จุตูปปาตญาณ จิตที่มีแรงขับ จิตที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะไปเกิดอย่างนั้นๆๆ อดีต อนาคต สิ่งที่มาคือบุพเพนิวาสานุสติญาณคืออดีตชาติ อดีตที่เราสร้างมา นี่ไง ถ้ามันไม่จบสิ้น อนาคตมันต้องไป เพราะมันมีพรุ่งนี้ใช่ไหม เมื่อวานมีไหม วันนี้ใช่ไหม พรุ่งนี้ก็มีอีก พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นอีกแล้ว เดี๋ยวพระอาทิตย์ตก พรุ่งนี้ก็ขึ้นอีก
นี่ก็เหมือนกัน มันมีแรงขับอยู่ มันก็ไปเกิดอีก ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาเป็นปัจจุบัน อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ สิ้นไปในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งโลกนอกและโลกใน แล้วสั่งสอนในพระไตรปิฎก สั่งสอนอย่างนี้ไว้ แล้วเราก็มาศึกษา แล้วเราก็จะทำตาม เราก็จะเอาให้ได้ เอาให้เป็น มันก็นี่ไง บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนไปอดีตชาติ เรามาจากไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น รู้อย่างนั้น แล้วเราล่ะ
นี่เพราะเราเกิด ชีวิตนี้มาจากไหนไง เราจะบอกว่าชีวิตนี้มันจะทุกข์มันจะยาก แต่เราก็ได้สร้างสมมา เกิดเป็นมนุษย์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเกิดแสนยาก เหมือนเต่าตาบอดอยู่กลางทะเล มันจะโผล่มาหายใจตลอด แล้วมันมีบ่วงอยู่บ่วงหนึ่ง ถ้าเต่าตัวนั้นมันโผล่ขึ้นมาหายใจในบ่วงนั้น ก็เท่ากับได้มาเกิดเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง การเกิดเป็นมนุษย์แสนยากขนาดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก แล้วเราได้มาเกิดแล้ว เราเกิดมาแสนทุกข์แสนยาก แสนทุกข์แสนยากเกิดมาเพราะมีกายกับใจ ร่างกายนี้ต้องการอาหาร ต้องการความมั่นคงของชีวิต แล้วเราก็อยากให้มันมีความมั่นคงของชีวิต แต่มันก็อยู่ที่วาสนาบารมีที่เราสร้างสมมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราสร้างสมมามากน้อยแค่ไหนเราก็พยายามทำของเรา นี้คือการดำรงชีวิต
แต่เราได้ชีวิตนี้มาด้วยอริยทรัพย์ ด้วยการเกิดเป็นมนุษย์มันมีกายกับใจ ถ้ากายกับใจนะ เรามีค่าเท่ากันแล้ว เพราะเรามีร่างกายกับจิตใจเหมือนกัน ถ้าร่างกายกับจิตใจเหมือนกันนะ ถ้าคนมีสติปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันจะมาหาอริยทรัพย์ที่นี่ไง มันจะมารู้นะ เพราะมนุษย์มีกายกับใจ ว่าร่างกายมันบีบคั้น ร่างกายมันต้องหาอาหารใช่ไหม ร่างกายมันต้องการพักผ่อนนอนหลับใช่ไหม แล้วร่างกายมันก็เป็นเจ้านายที่จิตใจต้องหามาปรนเปรอมันใช่ไหม แล้วถ้าเราทำงานของหัวใจเราบ้างล่ะ
ทำงานของหัวใจเราบ้างนะ เรากำหนดพุทโธๆ ให้จิตใจมันสงบเข้ามา ถ้าจิตใจสงบเข้ามา นี่ไง ที่ว่าอริยทรัพย์ๆ เพราะมีกายกับใจมันเห็นภาพชัดเจน มันมีความทุกข์ที่เผชิญหน้า แต่เวลาเทวดา อินทร์ พรหม เขามีทิพย์สมบัติของเขา เขามีความสุขของเขา เขาเพลิดเพลินของเขา เขาไม่มีโอกาสเหมือนเรานะ
โอกาสเหมือนเราคือร่างกายมันบีบคั้น ไอ้ที่ว่ามันทุกข์มันยาก ไอ้ที่มันเกิดมาปากกัดตีนถีบ เพราะมันปากกัดตีนถีบ เพราะมันบีบคั้นให้เราแสวงหาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ที่เขาแสวงหากันไง ถ้าเราแสวงหาอย่างนี้ได้ มันมีสถานะที่มาบีบคั้นที่ให้เราได้สะดุดใจ ให้เราได้ฉุกคิด แต่เราไม่ได้คิด
เวลาพระพุทธเจ้าบอกว่า ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราก็จะมีความมั่นคงเป็นที่สุด เราก็ไม่ยอมตายเป็นที่สุด เราจะฝืนไปหมดเลย แล้วก็จะเอาให้ได้ดั่งใจเลย ได้ดั่งใจคือขัดแย้งกับพระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ต้องขึ้นอยู่แล้ว พระอาทิตย์ต้องตกอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติมันต้องเป็นไป นี่ก็เหมือนกัน บุญ-บาปมันก็เป็นของมันจริงๆ อย่างนั้นแหละ แล้วเราจะไปฝืนมัน ฝืนมันอย่างไร
ถ้าเราไม่ฝืนมัน เรามาศึกษา มาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันรู้มันเห็น มันรู้แจ้งขึ้นมานะ โอ้โฮ! มันจะซาบซึ้ง ซาบซึ้งมากนะ เวลาครูบาอาจารย์ จิตใจท่านบรรลุธรรมขึ้นมา น้ำตาไหลพรากๆ ทำไมมันโง่ขนาดนี้ ทำไมมันโง่ขนาดนี้ ทำไมคนมันโง่ได้ขนาดนี้ แล้วใครโง่? ก็ตัวเองโง่ เพราะตัวเองแสวงหาอยู่ ตะครุบเงาตลอด
ดูสิ ออกธุดงค์ทั่วไปหมดเลย แสวงหาไปทั่วเลย ทำไมมันโง่ขนาดนี้ ก็มันอยู่กลางหัวอกนี่ ก็เราไปกับมันอยู่นี่ ชีวิตมีความคิด มันก็ไปกับมันอยู่นี่ แล้วก็จะไปหามันอยู่นี่ แล้วก็หาไม่เจอ แต่เวลามันเจอนะ โอ้โฮ! ของมันอยู่กับเรานี่แหละ
เวลาเป็นสุภาษิต เขาบอก ติดเพชรไว้บนหน้าผาก แล้วก็แสวงหาเพชร หาว่าเพชรหายไง เพชรติดไว้ที่หน้าผาก แล้วก็วิ่งหาเพชร ไปหาที่ไหนล่ะ มันอยู่บนหน้าผาก เห็นไหม จิตใจของเรามันอยู่กับเรา แล้วเราจะหาอย่างไรล่ะ นี้เป็นอุบาย เป็นวิธีการ เป็นวิธีการว่าเราจะให้จิตของเรา ใจของเรา ค้นหาตัวเองให้เจอ แล้วมันจะเห็นนะ เห็นว่าสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบระงับมันไม่แบกหามอารมณ์ต่างๆ มันมีความสุขของมัน มันมีความสุขแล้วมันชื่นบานของมัน มันก็ฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน อย่างนี้เป็นงานของใจ
หน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรามันก็ใช้สมองเหมือนกัน มันก็ต้องมีพลังงานเหมือนกัน ใจมีส่วนด้วย แต่เวลาภาวนานี่ใจล้วนๆ เลยล่ะ เวลานั่งสมาธิไปมันจะสงบนะ มันสักแต่ว่า มันทิ้งกายเลย มันไม่รับรู้ว่ามีร่างกาย ไม่รับรู้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตา หู จมูก ลิ้น กายมันทิ้งเลย มันสักแต่ว่า มันไม่รับรู้ เช่น นั่งอยู่ เสียงมาก็ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน ลมสัมผัสนี่ไม่รับรู้ นี่จิตเวลามันสงบมันทิ้งร่างกายนี้ได้เลย มันมหัศจรรย์ขนาดนั้น คนทำไปเดี๋ยวจะรู้
แล้วถ้าไม่จริงนะ ครูบาอาจารย์โกหกไหม ถ้าใครโกหก พิสูจน์สิ เป็นวิทยาศาสตร์ พุทธศาสน์ พิสูจน์ตรวจสอบ เอากันให้ได้ แล้วถ้าได้จริง เราจะเห็นคุณค่าการเกิดเป็นมนุษย์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราก็ปากกัดตีนถีบหาอยู่หากิน หาของเราไป สัตว์มันก็ทำอย่างนี้ แต่มนุษย์มันประเสริฐกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์มีศีลธรรมจริยธรรม มนุษย์มีสติปัญญา แล้วเวลามนุษย์ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาฟังธรรมจากมนุษย์ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เอวัง